สมาคมแบบจำลองสารสนเทศอาคาร (Thai Building Information Modeling Association; TBIM) เปิดตัวอย่างเป็นทางการ เร่งผลักดันเทคโนโลยีล้ำสมัยด้านงานวิศวกรรมการออกแบบมาใช้ พร้อมศึกษาแนวทางและมาตรฐานการทำงานบนระบบ BIM เทคโนโลยีในการนำซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการออกแบบ (Smart Design Software) ซึ่งรวบรวมข้อมูลการออกแบบก่อสร้างทั้งหมดมาอยู่ในรูปแบบภาพจำลอง 3 มิติ (3D Digital Model) เพื่อเพิ่มความถูกต้องแม่นยำในทุกกระบวนการมากยิ่งขึ้น ให้สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาประเทศไทยในระบบเศรษฐกิจ THAILAND 4.0 ที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
ศ.ดร.อมร พิมานมาศ ศาสตราจารย์สาขาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะนายกสมาคมแบบจำลองสารสนเทศอาคาร (TBIM) กล่าวว่า สมาคมนี้เกิดจากการผลักดันของสมาชิกสมาคมสถาปนิกสยามฯ เพื่อการรองรับการออกแบบจากระบบ 2 มิติ ไปสู่ระบบ 3 มิติ ด้วยการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า BIM (Building Information Modeling)ซึ่งในขณะนี้กระบวนการ BIM ในประเทศไทย ยังไม่มีมาตรฐานการทำงานที่ชัดเจน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีองค์กรกลาง คือ สมาคมแบบจำลองสารสนเทศอาคาร (Thai Building Information Modeling Association; TBIM) เพื่อช่วยสร้างกรอบการทำงาน และมาตรฐานให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
BIM มีการสร้างแบบจำลองเสมือนจริงใน Computer ทำให้ผู้ทำงานเกี่ยวข้องสามารถเห็นส่วนประกอบทุกส่วนตรงกัน โดย BIM จะสร้างเป็นโมเดล 3 มิติขึ้นมาพร้อมกับ Intelligent Information อาทิ รายละเอียดวัสดุ เพื่อคำนวณปริมาณวัสดุก่อสร้าง ปรับปรุงกระบวนการออกแบบก่อสร้างและคำนวนพลังงานที่จะใช้ในอาคาร สร้างแบบจำลอง หรือ Digital Prototype Model ที่เสมือนจริง และเปลี่ยนจากการสร้างแบบบนกระดาษมาสู่เทคโนโลยีดิจิทัลและประสานข้อมูลบน Cloud สะดวกในการทำงานนอกสถานที่โดยสามารถใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่าง Tablet ได้อีกด้วย ซึ่งจะนำไปสู่การส่งมอบอาคารที่มีคุณภาพสูงขึ้นจากมาตรฐานของตลาดในปัจจุบัน โดย BIM จะเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมโครงการก่อสร้างหรืออาคารประเภทต่างๆ มากขึ้น และเห็นแนวโน้มชัดเจนขึ้นภายใน 5 ปีข้างหน้านี้ทันทีที่เทคโนโลยี 5G เกิดขึ้นในประเทศไทย
นอกจากนี้จะมีการเซ็น MOU กับทาง SCG , สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย เพื่อจัดทำมาตรฐานขึ้นมา และนำเสนอต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เห็นถึงความสำคัญของ ดิจิตอล คอนสตรัครชั่น ว่ามีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ที่จะช่วยลดการสูญเสียค่าพิมพ์ไปได้อย่างน้อย 20 %
การนำระบบ BIM มาใช้จำเป็นต้องมีมาตรฐานในการออกแบบ และการส่งต่อข้อมูล ดังนั้นการใช้สัญลักษณ์ต่างๆต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ในขณะที่ปัจจุบันต่างคนต่างทำ ดังนั้นจำเป็นต้องมีการสร้างบุคลากรขึ้นมารองรับด้วยการร่วมมือกับทางสิงคโปร์ ซึ่งเป็นผู้นำในการใช้ BIM ในการพัฒนาโครงการก่อสร้างและมาเลเซียในการจัดทำมาตรฐานและหลักและหลักสูตรในการอบรมให้ความรู้กับบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยได้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการร่างมาตรฐานการทำงานด้วยระบบ BIM คาดว่าจะสามารถใช้งานมาตรฐานภายในปี 2563 และพัฒนาหลักสูตรการอบรม-สัมมนา เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับ BIM ให้สมาชิกและบุคคลภายนอก คาดว่าจะสามารถเริ่มการอบรม-สัมมนาได้ภายในต้นปี 2563
ปัจจุบันมีผู้พัฒนาโครงการก่อสร้างทั้งภาครัฐและเอกชนของไทยได้นำเทคโนโลยีระบบ BIM เข้ามาใช้ในงานก่อสร้างแล้ว อาทิ สถานีโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีส้มของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และโครงการ แอชตัน อโศก ของบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) โดยนายสันทัด ณัฐฐากุล ประธานเจ้าหน้าที่สายงานควบคุมการผลิต บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า ในช่วงปี 2561 ที่บริษัทมีการนำ BIM มาใช้ในการก่อสร้าง 8 โครงการ ช่วยลดปัญหาที่เกิดจากความขัดแย้ง และเกิดการสูญเสียไปได้ 27 ล้านบาท
ด้านนายอิทธิพล จำเรืองจรัส กรรมการผู้จัดการ BIM CONSULT และประธานกรรมการเรื่องBIM กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และทีปรึกษากรมธนารักษ์ กล่าวว่า จากการที่บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด(มหาชน) นำ BIM มาใช้ ทำให้สามารถเพิ่มเป้าการขยายสาขาร้าน 7-11 จากปีละ 500 สาขา เป็นการเปิดสาขาใหม่ปีละ 1,000 สาขา และปรับปรุงสาขาเก่า 2,000 สาขา อีกทั้งยังสามารถร่นระยะเวลาในการออกแบบจากเดิมที่ใช้ AutoCAD ต้องใช้เวลา 14-21 วัน เหลือเพียง 3-4 วัน ซึ่งช่วยทำให้เปิดร้านได้เร็วขึ้น 10 วัน โดยร้าน 7-11 มียอดขายโดยเฉลี่ยวันละ 70,000 บาท
ส่วนกรมธนารักษ์ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการปรับปรุงมาสู่ระบบ BIM โดยคาดว่าในปีหน้า กรมธนารักษ์จะให้คู่สัญญญาส่งแบบ (โมเดล) พิมพ์เขียวโครงการก่อสร้าง 3 มิติ