ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ วอนแบงก์ช่วยช่วยปลดล็อคผู้กู้ร่วมทั้งระบบออกจาก LTV ชี้ข่วยกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภาคที่อยู่อาศัย พร้อมเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังตามแผนอีก 5 โครงการ มูลค่า 3,500 ล้านบาท เน้นทำตลาดแบบเรียลดีมานด์ ทุ่มใช้ออนไลน์ 40-50 %
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) หรือแบงก์ชาติ ได้ออกมาตรกรผ่อนปรน LTV สำหรับผู้กู้ร่วม ในกรณีที่ผู้กู้ร่วมไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย ให้ผ่อนปรนเสมือนว่ายังไม่เป็นผู้กู้ในครั้งนั้น นับเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อในภาพรวมได้ประมาณ 10 % อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ผู้กู้ร่วมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ด้วย ยังคงอยู่ในข้อบังคับ จึงอยากให้ช่วยผ่อนปรนกับผู้กู้ร่วมด้วย ในกรณีผู้กู้หลักที่มีความสามารถในการผ่อนชำระไปได้ระยะหนึ่ง จนหนี้ที่เหลือมีมูลค่าไม่น้อยกว่าหลักประกันก็ควร ได้รับการปลดล็อคด้วย
ด้านนาย นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 2 ซึมลง เนื่องจาการมีการเร่งโอนในช่วงไตรมาส 1 เพื่อหนีมาตรการ LTV แต่จากการที่บริษัทมุ่งพัฒนาโครงการเพื่อเจาะกลุ่มที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และการทำตลาดแบนออนไลน์ ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แบบโดยตรง ในทุกเพศ ทุกวัย และไลฟ์สไตล์ ทำให้บริษัทสามารถทำยอดขายได้ 400 ล้านบาท จากการเปิด 4 โครงการ มูลค่า 2,500 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีหลังวางแผนเปิดโครงการใหม่ 5 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 3,500 ล้านบาท ซึ่งเริ่มดำเนินการขายไปแล้วรวม 4 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ Lalin Town อ่อนนุช – สุวรรณภูมิ , Lalin Town รังสิต – คลอง 2 , Lio Bliss รังสิต – คลอง 4 , Lio Bliss เพชรเกษม 81/2 และจะทยอยเปิดขายอีก 1 โครงการ ได้แก่ Lio Bliss ปลวกแดง – มาบยางพร บนพื้นที่ 41 ไร่ ประมาณ 400 ยูนิต ราคา 1.5-2 ล้านบาท มูลค่า 700 ล้านบาท จะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4
ปีนี้ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ยังคงดำเนินการตามแผนที่วางไว้โดยไม่มีการปรับเป้า คือการเปิดโครงการใหม่ 8-10 โครงการ มูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท เป้ายอดขาย 5,300 ล้านบาท ครึ่งปีแรกทำไปได้แล้ว 3,100 ล้านบาท โดยกลยุทธ์การตลาดที่ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จะนำมาใช้เพื่อสร้างความแข็งแกร่งยังคงสานต่อจากปีที่ผ่านมาโดยมุ่งเน้นตลาดแบบ Real Demand โดยมุ่งเน้นตลาดเชิงรุก และ ใช้ Insight Customer ทั้งด้านออนไลน์ ซี่งใช้ประมาณ 40-50 % และออฟไลน์มาร์เก็ตติ้ง ที่เลือกเน้นใช้ที่ที่มีประสิทธิภาพเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจริง ตลอดจนการทำ CRM อย่างต่อเนื่องโดยผนึกกำลังกับแบรนด์ชั้นนำเพื่อมอบสิทธิประโยชน์พิเศษแก่ลูกบ้านของลลิล เพื่อเพิ่มความสะดวกในทุกการใช้ชีวิตและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมโดยนำการออกแบบ แบบ Eco Living มาประยุกต์ใช้ นับเป็นอีกหนึ่งในค่านิยมหลัก (Core value) ที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าของเครือข่ายและพันธมิตรในการสร้างความสำเร็จของธุรกิจควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกบ้านอย่างยั่งยืน
นายชูรัชฏ์ กล่าวต่อไปว่า จากการนำเสนอโครงการใหม่สู่ตลาดตั้งแต่ต้นช่วงต้นไตรมาส 2 ของปี 2562 ทำให้เห็นชัดว่า ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เดินมาถูกทาง ดังนั้น เราจะเดินหน้าพัฒนาโครงการแนวราบในย่านที่มี Blue print ของความเป็นเมืองหรือชุมชนศักยภาพที่พร้อมจะเติบโตสู่การเป็นย่านเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งทำเลหลักยังเป็นเขตรอบของกรุงเทพฯ ทั้งโซนทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันออกเป็นหลัก รวมถึงพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ที่ครอบคลุม 3 จังหวัดคือ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองวิสัยทัศน์เชิงนโยบาย Thailand 4.0 ซึ่งโครงการนี้ไม่เพียงแต่มุ่งเน้นพัฒนาเพียงด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงด้านโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรม เทคโนโลยี และที่อยู่อาศัย จึงถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่นำร่องในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาขนส่งระบบรางและการบินที่ทันสมัย สนับสนุนนวัตกรรมเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่มีประสิทธิภาพ อาทิ โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังและมาบตาพุดโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการพัฒนาเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล เป็นต้น จากแผนการพัฒนาดังกล่าวทำให้มีประชากรเพิ่มขึ้นในพื้นที่เฉลี่ย 8-10%ต่อปี และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่องในอนาคต ส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งไทยและต่างชาติ เข้ามาพัฒนาโครงการใหม่ๆ กันมากขึ้น เพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว และมีปริมาณแรงงานคุณภาพที่ย้ายถิ่นฐานมาในโซนดังกล่าวพร้อมความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีมากขึ้น
ทิศทางของภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลัง คาดว่ายังคงมีทิศทางที่เป็นบวก แต่อัตราการปรับตัวอาจอยู่ในกรอบที่ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากตลาดที่อยู่อาศัยที่ยังคงมีอุปทานคงเหลือในหลายพื้นที่ โดยการเติบโตจะเห็นชัดเจนในพื้นที่ที่ประชาชนมีกำลังซื้อ เช่น กรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงจังหวัดเขตเศรษฐกิจและเริ่มขยายไปยังจังหวัดรองที่สำคัญ ส่วนใหญ่ที่อยู่อาศัยจะกระจายตัวออกไปจากอุปทานของที่ดินที่ยังมีอยู่จำนวนมาก และมุ่งเน้นเจาะไปที่กลุ่ม Real demand เป็นสำคัญเพื่อปลดล็อคปัญหา LTV โดยการพัฒนาโครงการส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นจะอาศัยแรงบวกจากนโยบายภาครัฐที่ชัดเจนคือ การลงทุนขนาดใหญ่ในพื้นที่เฉพาะเช่นพื้นที่ EEC ที่กำลังเติบโตอย่างน่าจับตา” นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บมจ. ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวสรุป