บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ มั่นใจธุรกิจอสังหาเติบโตต่อเนื่อง หลังผลประกอบการครึ่งปีแรกรายได้โต 35% กำไรเพิ่ม 41 % เตรียมเปิดโครงใหม่อีก 5-6 โครงการ เน้นบ้านเดี่ยวระดับราคา 4-7 ล้านบาท ทาวน์โฮม 2-3 ล้านบาท
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN)กล่าวถึงภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ว่า เมื่อ4-5 ปีที่ผ่านมามีที่อยู่อาศัยจดทะเบียนใหม่120,000-130,000 หน่วย/ปี ส่วนปี 60 มีจดทะเบียน 110,000 ยูนิต ในขณะที่ 5 เดือนของปีนี้จำนวนจดทะเบียนโตขึ้น 19 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบ้านเดี่ยวโตขึ้น 8.9% ทาวน์เฮ้าส์โต 67.3% คอนโดโต 29.8% บ้านแฝด-35.1% อาคารพาณิชย์-44.2%
เมื่อดูตัวเลขการเติบโต จะเห็นว่าปีนี้ดีขึ้นมาก ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วตัวเลขใกล้เคียงกับปี 59 ในขณะที่ปีที่ผ่านมาตลาดอยู่ในภาวะต่ำเตี้ย
สิ่งที่น่ากังวลยังคงเป็นเรื่องของหนี้ครัวเรือน ซึ่งยังอยู่ที่ 77.8 %ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ยอดการถูกปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้น โดยในส่วนของบริษัทอยู่ที่ 20-25 % ในขณะที่เมื่อ4-5 ปีก่อนอยู่ที่ 15-18 % อย่างไรก็ตามสถาบันการเงินก็ยังคงเร่งขยายสินเชื่อปล่อยใหม่ โดยในไตรมาสแรกของปีนี้มีการขยายตัว 35 %
ภาพธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อีก 2 ไตรมาสที่เหลือของปีนี้ น่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง ส่งให้ภาพรวมทั้งปีน่าจะขยายตัวราว 4 – 4.5% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ดี อีกทั้งเริ่มเห็นสัญญาณการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนมีทิศทางที่ดีขึ้น ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐเริ่มกลับมาขยายตัวในช่วงครึ่งปีหลัง
ในส่วนของบริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ครึ่งปีหลังยังเน้นพัฒนาโครงการแนวราบในเขตกรุงเทพ-ปริมณฑล และต่างจังหวัด เน้นเจาะกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับราคา 4-7 ล้านบาท ทาวน์โฮม 2-3 ล้านบาท โดยจะเปิดอีก 5-6 โครงการมูลค่า 3,000-3,500 ล้าบาท โดยจะเปิดในช่วงเดือนสิงหาคม 2 โครงการ เป็นบ้านเดี่ยว บนพื้นที่ 10 ไร่ ย่านสามพราน จังหวัดนครปฐม ประมาณ 60 ยูนิต ราคา 3-6 ล้านบาท มูลค่าโครงการประมาณ 200 ล้านบาทอีกโครงการมูลค่า 300 ล้านบาท เป็นทาวน์โฮม 150 ยูนิต ย่านปทุมธานี ที่เหลือจะเปิดในช่วงไตรมาส 3 และ 4 โดยเน้นทำตลาดเชิงรุก ทั้ง Online Marketing และ Offline Marketing โดยเลือกสื่อและเครื่องมือที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าและทำเล ตลอดจนมีการเพิ่มงบประมาณในส่วนของ e-Marketing เนื่องจากเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพ ที่สามารถสร้างยอดขายให้กับบริษัทได้ถึง 30-40 %
ด้านผลประกอบการ ไตรมาส 2 ปี 2561 บริษัทฯ มียอดรับรู้รายได้รวม 1,119.6 ล้านบาท ขยายตัวราว 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 และมีกำไรสุทธิ 219.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 29% นับเป็นการเติบโตในอัตราที่สูงกว่า 25% ต่อเนื่องตลอดช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ทั้งนี้ในรอบครึ่งปีแรก บริษัทฯ สามารถทำยอดขายใหม่ได้กว่า 2,800 ล้านบาท จากเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้ 4,400 ล้านบาท มียอดรับรู้รายได้เพิ่มขึ้น 35 % โดยทำได้2,082 ล้านบาท จากเป้าที่ตั้งไว้ 4,000 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 402 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 41% มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่ที่ 0.76 เท่า ปรับลดลงจาก ณ สิ้นไตรมาสแรก ซึ่งอยู่ที่ 0.82 เท่า