ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ชำระคืนหุ้นกู้ครบเต็มจำนวนตามกำหนด 2,965 ล้านบาท ตามแผน พร้อมเตรียมทยอยโอนโครงการเสร็จใหม่ Q2/2568 จำนวน 3 โครงการ ใน 3 โซน กรุงเทพ สมุทรปราการ และระยอง มีแบ็คล็อคแล้วกว่า 4,000 ล้านบาท ครึ่งหลังปี’ 68 จ่อโอนเพิ่มอีก 7 โครงการ ตุนแบ็คล็อคแล้วกว่า 6,600 ล้านบาท
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ชำระคืนหุ้นกู้ที่อายุครบกำหนดในเดือนเมษายน 2568 จำนวน 2,965 ล้านบาท ครบเต็มจำนวนตามกำหนด โดยที่ผ่านมา บริษัทฯ มีประวัติการชำระคืนที่ดีมาโดยตลอด จากที่บริษัทฯ มีการวางแผนการออกและเสนอขายหุ้นกู้ โดยคำนึงถึงจำนวน และระยะเวลาครบกำหนดเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ลักษณะการทยอยชำระจะสอดคล้องกับแผนพัฒนาโครงการ และการรับรู้รายได้ของโครงการในอนาคต ขอขอบคุณนักลงทุนทุกรายที่ให้ความไว้วางใจ และจะเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้
ทั้งนี้ ด้านการโอนกรรมสิทธิ์ใน Q2/2568 มีโครงการคอนโดมิเนียมแล้วเสร็จใหม่ตามแผนจำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ Origin Plug & Play E22 Station (ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ อี 22 สเตชั่น), โครงการ Origin Plug & Play Srinakarin (ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ ศรีนครินทร์) และ โครงการ The Hampton Suites Rayong (เดอะ แฮมป์ตัน สวีท ระยอง) โดยมีแบ็คล็อคแล้วกว่า 4,000 ล้านบาท และในครึ่งหลังของปี 2568 มีโครงการคอนโดมิเนียมที่จะทยอยโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มใหม่อีกจำนวน 7 โครงการ ซึ่งมีแบ็คล็อคแล้วกว่า 6,600 ล้านบาท เป็นไปตามการวางแผนพัฒนาโครงการให้มีโครงการแล้วเสร็จใหม่ต่อเนื่องทุกไตรมาส เนื่องจากบริษัทให้ความสำคัญกับการรักษาสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ ควบคู่กับการเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตได้ตามแผนงาน
ทั้งนี้บริษัทฯ ยังพร้อมขับเคลื่อนองค์กรภายใต้กลยุทธ์ “Resilience Leads To Sustainable Growth” สร้างความยืดหยุ่นในการบริหารองค์กร พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลง สู่การเติบโตอย่างยั่งยืนบนโอกาสใหม่ เพื่อสร้างความสมดุลในระยะยาวอย่างมีเสถียรภาพทั้งด้านธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยยังคงเป้าหมายธุรกิจตามแผนเดิมด้วยการเปิดโครงการใหม่ (Project Launch) ทั้งพื้นที่ในกรุงเทพและต่างจังหวัดจำนวน 11 โครงการ มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท เป็นคอนโดฯ จาก ORIGIN VERTICALจำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวม 12,500 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวจากบริทาเนีย จำนวน 6 โครงการ มูลค่ารวม 7,500 ล้านบาท