เบเยอร์ ยังคงเดินหน้าสารต่อแนวคิด Eco-Wellness Innovation พร้อมต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนวัฒกรรม เปิดตัวผลิตภัณฑ์ BagerCool โดยใช้เทคโนโลยี AeroTech วัสดุแห่งอนาคตเข้ามาเสริมความแกร่งให้กับผนังบ้าน ภายใต้แนวคิด เย็นขึ้น ทนกว่า เพื่อยืนหยัดการเป็น The Best Cool Paint พร้อมปักธงร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านภาคธุรกิจด้วยสีรักษ์โลก ปูพรมเติมเต็มอาคารรักษ์โลกหรือ Low Carbon Building Design ในห่วงโซ่อุปทานทางธุรกิจ มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero Emissions
ดร.วรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท สีเบเยอร์ กล่าว่าสีเบเยอร์คูล( BegerCool) เป็นผลิตภัณฑ์เรือธงของบริษัท การันตีด้วยการคัดเลือกจาก 300 แบรนด์ ที่ประกอบด้วยบริษัทชั้นนำจากทุกอุตสาหกรรมทั่วประเทศ และยอดขายอันดับ 1 กว่า18ปีในฐานะผู้นำตลาดสีบ้านเย็น ล่าสุดได้ต่อยอดผลิตภัณฑ์ผ่านการนำเอาเทคโนโลยี AeroTech มาพัฒนาทำให้สีทาบ้านของเบเยอร์มีความ เย็นขึ้นทนกว่า
เบเยอร์ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องตามกรอบแนวคิด “Eco-Wellness Innovation” โดยสำหรับผลิตภัณฑ์ จากเบเยอร์ อย่าง “เบเยอร์คูล” ล่าสุดได้นำเอาเทคโนโลยี “AeroTech” มาผนวกใช้ควบคู่กับ “Ceramic Cooling” ในการการผลิตซึ่งมีความโดดเด่นในด้านสะท้อนความร้อนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพยิ่งที่สุดแห่งยุค จนเกิดการพัฒนาที่รักษ์บ้านและรักษ์โลกขั้นกว่า ด้วยหลักการทำงาน “Double Cool, Double Protection” ช่วยสะท้อนความร้อน ส่งผลให้ฟิล์มสีมีความทนทาน และไม่ถูกทำลายจากความร้อนช่วยให้ผนังบ้านมีความเย็นขึ้น โดยเบเยอร์มุ่งมั่นผสานคุณสมบัติที่โดดเด่น (High Performance) และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นพร้อมกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างครอบคลุมในทุกห่วงโซ่อุปทาน
สำหรับความโดดเด่นของเบเยอร์ ที่มาพร้อมกับ AeroTect เสมือนฉนวนกันความร้อนที่มีประสิทธิภาพที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง โดยผลิตจากซิลิกา/ซิลิเกต (Sillica/Silicate) ทนทานต่อรังสี UV สามารถ “สะท้อนและสกัดกั้นความร้อนได้สูงสุดถึง 97.5%” ไม่ให้เข้าสู่ตัวบ้าน ทดสอบโดยสถาบันทดสอบด้านรังสีและความร้อน OTM Solutions ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งจากการทดสอบสามารถ “ลดอุณหภูมิได้สูงสุด 6 องศาเซลเซียส” และช่วย “ประหยัดค่าไฟได้กว่า 32%” และที่สำคัญความโดดเด่นในการทนทานต่อความร้อนนั้นส่งผลให้บ้านหรืออาคารที่เลือกใช้สีเบเยอร์คูลมีอายุการใช้งานที่นานขึ้นกว่า 10 ปี
อย่างไรก็ดีสีเบเยอร์มุ่งเน้นผลิตสินค้าคาร์บอนต่ำที่ลดการปล่อยตาร์บอนจากการผลิตให้น้อยสุด ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญในการปล่อยคาร์บอนจากการใช้พลังงานไฟฟ้าในการทำความเย็นในบ้านหรือในตัวอาคารหลังจากผู้อยู่อาศัยย้านเข้า โดยที่ผ่านมส เบเยอร์สามารถลดการปล่อยก็าซเรือนกระจกแล้วกว่า 350,000,000 กิโลกรัมคาร์บอยหรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ชดเชยมากกว่า 5,594,492 ตัน
“เทรนด์การเติบโตของสีไม่ต่างจากตลาดวัสดุก่อสร้างการแข๋งกันจะออกมาในเรื่องของการสร้างนวัตกรรมการลดการปล่อยคาร์บอนจากการผลิตที่ต่ำ ซึ่งเป็นเทรนด์กระแสที่มาแรง” ดร,วรวัฒน์ กล่าว
ด้านนายพงษ์เชิด จามีกรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบเยอร์ จำกัด กล่าว่า ปัจจุบัน สีทาอาคารของเบเยอร์มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 20 % ของตลาดสีทาอาคารรวมประมาณ 22,000 ล้านบาท โดยในปี 2568 จะเพิ่มการทำตลาดในต่างประเทศในเขตเซาท์อีสเอเชียซึ่งมีสภาพทางภูมิกากาศไม่ค่อยแตกต่างจากประเทศไทยมากขึ้น โดยในปี 2568 เบเยอร์ตั้งเป้าขยายส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มสีรักษ์โลกปีละ 15 % ภายใน 1-2 ปีจากนี้
อย่างไรก็ตามตลาดสีทาอาคารในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาอยู่ในภาวการณ์ทรงตัว ส่วน 2 เดือนที่เหลือรวมถึงปี 2568 คาดว่าจะกระเตื้องขึ้น ส่วนจะมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ เช่น การลดดอกเบี้ย การให้สินเชื่อเพื่อซ่อมแซมบ้าน การแจกเงิน 10,000 บาทใน เฟส 2 ดังนั้นจึงยังไม่สามารถกำหนดตัวเลขอย่างแน่นอนได้
“สำหรับแผนการพัฒนาของเบเยอร์ในปี 2568 ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำเพื่อให้สอดรับกับมาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) และ Carbon Tax ของตลาดโลก รวมถึงนำเอานวัตกรรมมาผนวกใช้เพื่อสร้างผลลัพธ์เชิงบวกตลอดห่วงโซ่อุปทานทางธุรกิจ โดยที่ผ่านมาได้มีการจัดตั้ง “Net Zero Innovation & Solution Center” เพื่อเป็นศูนย์กลางให้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมก่อสร้างทั้งห่วงโซ่อุปทานมาพัฒนาโครงการต้นแบบในการสร้างธุรกิจคาร์บอนต่ำ มากไปกว่านั้นยังมุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกกระบวนการ ตั้งแต่ ต้นน้ำ-ปลายน้ำ และใช้สีนวัตกรรมรักษ์โลกขยายผลสู่ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ ภาคการก่อสร้าง เพื่อร่วมสร้างอาคารเขียวรักษ์โลกหรือ “Low Carbon Building Design” เป็นไปได้ง่ายขึ้นและเข้าถึงได้มากขึ้นให้กับเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทย เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ หรือ Net Zero อย่างยั่งยืน สอดรับกับพันธกิจที่สำคัญของเบเยอร์ในการเป็น “ผู้นำสีนวัตกรรมที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม” คุณพงษ์เชิด กล่าวทิ้งท้าย
ด้านนางสาวพวงเพ็ญ แสงเพชร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท สีเบเยอร์ จำกัด กล่าวถึงแผนการตลาดที่ได้มีการออกแคมเปญที่จะช่วยในการเลือกสีที่ช่วยลดค่าพลังงาน นั่นคือการเลือกใช้สีเย็น ซึ่งจะมีทั้งการทำตลาดทั้งแบบออฟไลน์ และออนไลน์ สปอร์ตวิทยุ รวมถึงแคมเปญสำหรับช่าง จะได้ส่วนลด 100 บาท เมื่อซื้อครบ1,5000 บาทโดยมีการใช้งบในการดำเนินงานถึง 30 ล้านบาท
อีกทั้งเพื่อเพิ่มการรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ เบเยอร์คูล ด้วยการเพิ่มการกระจายสินค้าเข้าสู้ร้านค้า ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 2,000 ร้านค้า เพิ่มเป็น 3,000-4,000 ร้านค้า และการกดรับส่วนลดของกลุ่มช่างที่ร่วมงานอยู่กับบริษัท 15,000 คน ประมาณ 15% คาดว่าจะทำยอดขายได้ 30 บ้านบาท และคาดว่าจะทำรายได้ให้บริษัทเพิ่มขึ้น 15 % จากเป้ายอดขายที่ประมาณการว่าจะมากกว่า 5,500 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายจากต่างประเทศ ที่ประกอบด้วย ลาว เมียนมาร์ กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซียประมาณ 500 ล้านบาท โดยสี เบเยอร์คูล เทคโนใโลยีAeroTech จะมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ราว 1,500-1,600 บาทต่อ 10 ลิตร