บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้าปี 2566 กวาดยอดขาย (Booking) 35,000 ล้านบาท รับรู้รายได้จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ 33,000 ล้านบาท ส่วนรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 7,150 ล้านบาท
นายวัชริน กสิณฤกษ์ กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการบ้านจัดสรร กล่าวว่า ในปี 2565 สินค้าประเภทบ้านแนวราบ ซึ่งได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์เฮ้าส์ ยังคงเป็นสินค้าหลักที่สร้างยอดขายให้กับบริษัทฯ ถึง 92%: โดยบ้านเดี่ยวทำได้ 84 % ทาวน์เฮ้าส์ 8 % ในขณะที่คอนโดมิเนียม ทำได้ 8%
โดยสัดส่วนยอดขายมาจากโครงการในกรุงเทพและปริมณฑล 90 % ต่างจังหวัด 10 % และสัดส่วนระดับราคาของบ้านที่สูงกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป มีสัดส่วนประมาณ 54% ของยอดขาย โดยมีการโครงการใหม่ 15 โครงการ รวมมูลค่า 32,460 ล้านบาท รวมโครงการที่ดำเนินการในระหว่างปี 2565 มีจำนวนทั้งหมด 89 โครงการ มีโครงการปิดระหว่างปี 19 โครงการ ดังนั้น ณ สิ้นปี 2565 มีโครงการที่ยกไปดำเนินการต่อในปี 2566 เป็นจำนวน 70 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 56,300 ล้านบาทเป็นโครงการแนวราบ 62 โครงการ มูลค่า 47,983 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 8 โครงการ มูลค่า 8,375 ล้านบาท
สำหรับปี 2566 บริษัทฯ มีแผน ที่จะเปิดโครงการใหม่ 17 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 34,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับการเปิดโครงการใหม่ในปี 2565 โดยเป็นโครงการในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 13 โครงการ และต่างจังหวัด 4 โครงการ
ในจำนวนโครงการที่เปิดใหม่เป็นแนวราบ 16 โครงการ แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว 15 โครงการ บ้านแฝด 1 โครงการ ทาวน์เฮ้าส์ 1 โครงการ รวมมูลค่า 28,460 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่า 6,500 ล้านบาท
ดังนั้น จำนวนโครงการที่ดำเนินการในปี 2566 มีทั้งหมดประมาณ 87 โครงการ เป็นมูลค่า 91,320 ล้านบาท โดยเป็นสินค้าแนวราบ 78 โครงการ มูลค่า 76,450 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 9 โครงการ มูลค่า 14,870 ล้านบาท โดยราคาเฉลี่ยต่อหน่วยขายในปี 2566 เท่ากับ 8.8 ล้านบาท (ปี 2565 ราคาเฉลี่ยต่อหน่วย 8.8 ล้านบาท)
นายโชคชัย วลิตวรางค์กูร กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการอาคารชุด กล่าวว่า ในปี 2565 เมื่อสถานกาณ์ COVID-19 เริ่มคลี่คลายลง รวมถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มฟื้นตัว ทิศทางของตลาดคอนโดมิเนียมก็ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ โดยสะท้อนจากจำนวนหน่วยที่ขายได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ที่เพิ่มขึ้นถึง 137% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2564 (ที่มา: AREA) และจำนวนหน่วยจดทะเบียนในช่วงเดือน ม.ค. – ต.ค. 2565 อยู่ที่ 32,909 หน่วย เติบโตประมาณ 16% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 (ที่มา: REIC)
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการก็มีความเชื่อมั่นในการเปิดโครงการใหม่ โดยจำนวนหน่วยที่เปิดขายใหม่ในช่วงเดือน ม.ค. – พ.ย. 2565 มีทั้งหมด 52,000 หน่วย เติบโต 128% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นจากปี 2564 แต่ตลาดคอนโดมิเนียมก็ยังมีความเปราะบาง และยังไม่กลับสู่สภาวะปกติอย่างแท้จริง บริษัทจึงยังคงระมัดระวังการเปิดโครงการประเภทคอนโดมิเนียม โดยในปี 2566 บริษัทฯ มีแผนเปิดโครงการคอนโดมิเนียมโครงการใหม่จำนวน 1 โครงการ มูลค่า 6,500 ล้านบาท คือโครงการ The Key ศรีนครินทร์ ซึ่งจะเปิดขายในไตรมาสที่ 3
นายวิทย์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการสายงานสนับสนุน กล่าวว่า ในปี 2565 บริษัทฯลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าผ่านบริษัท LHMH และ LH USA จำนวน 3,700 ล้านบาท ประกอบด้วย ศูนย์การค้า Terminal 21 Rama 350 ล้านบาท โรงแรมและอะพาร์ตเมนท์ 3,350 ล้านบาท ส่วนบริษัท LHMH ได้เปิดดำเนินโครงการใหม่ 2 โครงการ ได้แก่ โรงแรม Grande Centre Point Space Pattayaและศูนย์การค้า Terminal 21 Rama 3 ในไตรมาสที่ 3 และ4 ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังไม่ได้ขายอะพาร์ตเมนต์ในสหรัฐอเมริกาตามแผนที่ตั้งไว้ เนื่องจากสถานการณ์เงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ FED ดำเนินนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรง จึงส่งผลให้อัตราผลตอบแทนคาดหวังเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก และส่งผลกระทบต่อมายังราคาขาย
สำหรับปี 2566 บริษัทฯ ได้เตรียมงบลงทุนไว้ทั้งหมดประมาณ 9,000 ล้านบาท ประกอบด้วย งบซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 6,000 ล้านบาท งบลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า 3,000 ล้านบาท
ปัจจุบัน บริษัท LHMH มีโครงการที่ดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างพัฒนาทั้งหมด 11 โครงการ ด้านบริษัท LH USA มีโครงการที่ดำเนินการอยู่ทั้งหมด 4 โครงการ โดยบริษัทฯ มีแผน ที่จะขายโรงแรมในประเทศไทยเข้ากอง REIT อีกทั้งบริษัทฯ มีแผน ที่จะออกหุ้นกู้อีกจำนวน 14,000 ล้านบาท และคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะยังคงอยู่ในระดับที่ไม่เกิน 100%