เอ็น.ซี ปรับแผน เน้นพัฒนาโครงการระดับราคา 2-5 ล้านบาท จับกลุ่มเรียลดีมาน พร้อมปรับแบบสนองทุกช่วงอายุ เผยครึ่งปีแรกเร่งระบายสต็อก 5,000 ล้านด้วยการอัดโปรโมชั่น NC 5 G แรง ตั้งเป้าไตรมาสแรกกวาด 400-500 ล้านบาท ครึ่งปีหลัง เปิด 5 โครงการแนวราบ มูลค่า 3,500 ล้านบาท คาดสิ้นปีทำยอดขายได้ 2,700 ล้านบาท มียอดรับรู้รายได้ 1,600 ล้านบาท
นายสมนึก ตันฑเทิดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด(มหาขน) เปิดเผยถึงแผนการเปิดโครงการใหม่ในปี 2563 ว่า ปีนี้เน้นเปิดโครงการแนวราบ โดยมีแผนจะเปิดอีก 5 โครงการ ระดับราคา 2-5 ล้านบาท รวมมูลค่า 3,500 ล้านบาท โดย 50 % เป็นทาวน์เฮ้าส์ และบ้านแฝด ที่เหลือเป็นบ้านเดี่ยว ตั้งเป้ายอดขาย 2,700 ล้านบาท และรับรู้รายได้ 1,600 ล้านบาท
ทุกโครงการที่จะเปิดใหม่ เอ็น.ซี มีที่ดินอยู่แล้วทั้งหมด โดยนำแลนด์แบงก์ที่บริษัทมีอยู่กว่า 200 ไร่ขึ้นมาพัฒนา ทำให้บริษัทมีต้นทุนด้านที่ดินต่ำ อีกทั้งบริษัทยังมีหนี้สินต่อทุนที่ต่ำมากอยู่ในระดับ 0.5 เท่า โดยการเปิดโครงการใหม่ จะอยู่ในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนครึ่งปีแรกจะเน้นการขายโครงการที่มีอยู่แล้ว 9 โครงการ ซึ่งมีทั้ง บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ แลคอนโดมิเนียม 2 ทำเล ที่ยังเหลืออยู่คิดเป็นมูลค่า 5,000 ล้านบาท ด้วยแคมเปญ NC 5G แรง G1 :GOLD ซื้อบ้านได้ทองสูงสุด 20 บาท G2:GIFT : ซื้อบ้านรับของแถม Apple Series ครบคุ้ม อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า G3:GIFT VOUCHER ตกต่างบ้านมูลค่าสูงถึง 100,000 บาท G4: GIVE AWAY เอ็น.ซี ร่วมสมทบเงินมอบส่วนหนึ่ง เพื่อโครงการรักษ์โลก ทุกยอดโอนล้านละ 1,000 บาท ร่วมบริจาคสนับสนุน ด้านการคัดแยกขยะ ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม G5:GET MORE รับส่วนลดสูงสุด 2 ล้านบาท ฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธิ์ทุกรายการ ตั้งเป้ายอดขาย 400-500 ล้านบาทในไตรมาส 1/2563
นายสมนึกกล่าวต่อไปว่า ปีนี้มีความท้าทายกับปัจจัยลบทางเศรษฐกิจไม่แพ้ปี 62 ทั้งในและต่างประเทศ และยังต้องเผชิญกับปัญหาด้านการเงิน ในสภาวะสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนที่สูงขึ้น ภาคอสังหาฯต้องเผชิญกับการแบกสต็อกบ้านที่สูงที่สุดในปีนี้ ทำให้ปีนี้เราจะเห็นการเร่งระบาย สต็อกสินค้าบ้าน จึงเป็นโอกาสของผู้ซื้อ ที่ตลาดยังมีความต้องการบ้านราคา 2-5 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับว่าผู้ประกอบการจะสามารถพัฒนาตอบสนองความต้องการของตลาดได้มากแค่ไหน
ในส่วนของ เอ็น.ซี ได้มีการปรับตัวมาตั้งแต่ช่วงปีที่ผ่านมา ด้วยการพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับกำลังซื้อ โดยปีนี้ได้วางแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ ด้วย 3 กลยุทธ์ คือ 1.การพัฒนาสินค้าตอบสนองของทุกเจเนอเรชั่น(คนทุกวัย ) ที่มาพร้อมกับความสะดวกสบายภายใต้แนวคิด Smart Care 2. การให้ความสำคัญกับลูกค้า(Customer Centric) 3.การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี (Home Innovation) มาไว้ในโครงการ เช่น Smart Eco,Smart Care
ปัจจุบันตลาดมีความเปลี่ยนไป กลุ่มลูกค้าเปลี่ยนไป การทำตลาดจะมุ่งแต่สร้างแบรนด์ไม่ได้ เพราะบริษัทไม่ได้เปิดโครงการไปทุกพื้นที่ การสร้างการรับรุ้ในวงกว้างจึงไม่จำเป็น ในขณะที่สไตล์ของบ้านซึ่งแต่เดิมเน้นบ้านสไตล์ยุค ร.5 ก็ต้องเปลี่ยนไปตามภาวะตลาดและความต้องการของลูกค้า