แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ แย้มเตรียมงบ1หมื่นล้านช้อนซื้อโครงการสายป่านสั้น คาดครึ่งปีหลังได้เห็น พร้อมทุ่มอีก 4,000 ล้านบาทซื้อที่ดินตามซอย เน้นห่างถนนใหญ่ไม่เกิน 1 ก.ม. ใช้เปิดโครงการใหม่ ครึ่งปีแรก 9 โครงการ มูลค่า 10,000 ล้านบาท
นายอภิชาติ เกษมกุลศิริ กรรมการบริหารและหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้น จำกัด(มหาชน) (LPN)เปิดเผยว่า ต่อไปบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายเล็กจะอยู่ลำบากเนื่องจากไม่สามารถกู้เงินได้ เพราะแบงก์จะปล่อยกู้ให้เมื่อบริษัทมียอดดพรีเซลตามเป้า เมื่อทำไม่ได้แบงก์ก็ไม่ปล่อย เชื่อว่าครึ่งปีหลังจะเริ่มมีผู้ประกอบการเริ่มขายโครงการทิ้ง โดยคาดว่าจะมีประมาณ 20 โครงการ โดยในส่วนของ LPN พร้อมที่จะช้อนซื้อโครงการที่มีศักยภาพที่ขายออกมา โดยเตรียมงบไว้ไม่ต่ำกว่า 10, 000 ล้านบาท
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปัจจุบัน กำลังซื้ออยู่ในภาวะที่ถดถอย ทั้งที่ภาวเศรษฐกิจไทยมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง แต่การเติบโตอยู่ที่ระดับประมาณ 2.5% โดยมีภาคธุรกิจการท่องเที่ยวเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อน และมีนัักท่องเที่ยวจีนตัวช่วย ซึ่งขณะนี้กำลังได้รับผลกระทบจากโรคเชื้อไวรัสโคโรน่า ถ้ารัฐบาลไม่สามารถคุมไม่ให้ระบาดในประเทศไทยได้ จะทำให้ตัวเลขการเติบของจีดีพีหายไป.6-7 เหลือ1.8-1.9 %
“ปีนี้ไม่เห็นปัจจัยบวกเลย ดังนั้นรัฐบาลต้องพยามผลักดัน โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก(EEC) ให้เดินไปตามแผน ซึ่งถ้าทำไม่ได้การเติบโตทางเศรษฐกิจจะหดหายไปอีก.3-.4%
ดังนั้นวันนี้เราจึงเห็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จัดโปรโมชั่นชั่นขายคอนโดในราคาที่ต่ำกว่าช่วงพรีเซล เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่ปี2555-2560 ตลาดคอนโดฯโตปีละ30% ในขณะที่จีดีพีโตปีละ 2-3% ทำให้ขณะนี้ตลาดเกิดโอเวอร์ซัพพลาย ซึ่งตลาดต้องใช้เวลาในการดูดซัพ 2 ปี ถ้ารายใดไม่สามารถรับสภาพได้ก็ต้องขายโครงการออกไป”นายอภิชาติกล่าว
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่าในปี 2563 บริษัทมีงบลงทุนในการซื้อที่ดิน 4,000 ล้านบาท โดยเน้นซื้อที่ในซอยที่อยู่ห่างถนนใหญ่ในรัศมีไม่เกิน 1 กิโลเมตร เพื่อให้ต้นทุนในการซื้อที่ดินในการพัฒนาโครงการมีระดับราคาที่ไม่สูงเกินไป และสามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีระดับราคาที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดและกำลังซื้อ โดยในปี 2563 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในข่วงครึ่งปีแรกประมาณ 9โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 10,000ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนของแนวราบ 4 โครงการ และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่าประมาณ เข่นโครงการคอนโดมิเนียม แบรนด์พาร์คที่เตาปูน ราคา 90,000 บาท/ตารางเมตร, คอนโดมิเนียมที่จรัญ 65 ราคา70,000 บาท/ตารางเมตร, โครงการที่ถนนนราธิวาส ซึ่งมีทั้งออฟฟิศ และคอนโดมิเนียม ราคา 130,000 บาท, โครงการที่แจ้งวัฒนะ 17 อยู่ห่างถนนเข้าไปในซอย 200 เมตร ราคาไม่เกิน 70.000 บาท/ตารางเมตร และคอนโดมิเนียมที่ถนนเอกชัยใกล้กับบิ๊กซี ซึ่งบริษัทซื้อไว้ 30 ไร่จะแบ่งการพัฒนาออกเป็นเฟส เฟสแรก เป็นคอนโดมิเนียม 2,000 ยูนิต ขนาด 22 ตาราวเมตร ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายปี 2563 ไว้ 10,000 ล้านบาท เติบโต 30 % จากปี 2562 ทำได้ 7,000 ล้านบาท
นอกจากนี้จะเร่งระบายสต็อกซึ่งเหลืออยู่ประมาณ 10,000 ล้านบาท ให้ได้ 50 % ปีนี้จึงเป็นปีทองของผู้บริโภคในการเลือกซื้อ
“ปีนี้เราให้ความสำคัญกับโครงการในแนวราบที่ยังมีกำลังซื้อสูง โดยตั้งเป้ายอดขายแนวราบในปี 2563 เติบโตไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 เทียบกับปี 2562 โดยมีแผนเปิดตัว “บ้านแฝด” ที่ให้อารมณ์บ้านเดี่ยวในเมืองในระดับราคาเริ่มต้น 5 ล้านบาท เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ต้องการบ้านพักอาศัยในเมือง ในส่วนของคอนโดมิเนียม เราเน้นคอนโดมิเนียมที่ออกแบบให้มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์กับทุกความต้องการของลูกค้า ในระดับราคา 1-3 ล้านบาท ที่ยังมีกำลังซื้ออยู่ในตลาด และการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (Loan to Value : LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีส่วนช่วยกระตุ้นกำลังซื้อในตลาดคอนโดมิเนียมราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท โดยประมาณว่ายอดขายคอนโดมิเนียมในปี 2563 จะเติบโตมากกว่ายอดขายของปี 2562”
กลยุทธ์ดังกล่าวทำให้ LPN มั่นใจว่า ปี 2563 เป็นอีกปีที่เราจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะชะลอตัวจากภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นและมาตรการเรื่องการกำหนดสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio: DSR) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าจะประกาศใช้ในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อก็ตาม แต่เรามั่นใจว่าปี 2563 LPN จะสามารถรักษาความสามารถในการสร้างรายได้และกำไรได้ดีกว่าปี 2562
ในปี 2562 ถึงแม้จะเป็นปีแห่งความยากลำบากของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและหลักเกณฑ์ LTV แต่ก็ส่งผลให้ระดับรายได้ของบริษัทลดลงจากปี 2561 เพียงเล็กน้อย และเพิ่มความสามารถในการทำกำไรได้ดีขึ้นกว่าปี 2561
“เราสามารถเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในปี 2562 ได้ดีกว่าปี 2561 ขณะที่ภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว เป็นผลจากการปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560-2562 และปี 2563 เป็น “ปีแห่งการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน” (Year of Proficiency) ที่เราจะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและสร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่อง และก้าวไปสู่การเป็นองค์กรที่เติบโตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ” นายโอภาส กล่าว