บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ในเครือ TCC Group ประกาศแผนขายหุ้นสามัญต่อประชาชนครั้งแรกหรือไอพีโอ จำนวนไม่เกิน 8,000 ล้านหุ้น โดยแบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนประมาณ 6,957 ล้านหุ้น และอาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกินไม่เกิน 1,043 ล้านหุ้น พร้อมกำหนดราคาเสนอขายหุ้นที่ 6.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเป็นมูลค่าหุ้นเท่ากับ 48,000 ล้านบาท เปิดให้นักลงทุนทั่วไปจองซื้อหุ้นได้ในระหว่างวันที่ 25-27 กันยายนนี้ โดยนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในประเทศและในต่างประเทศประเภท Cornerstone Investor จำนวน 13 ราย ได้ตกลงจองซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ที่เสนอขายครั้งนี้ เป็นจำนวนรวม 3,454,000,000 หุ้น หรือประมาณร้อยละ 50 ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายในครั้งนี้ (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน)แล้ว จองซื้อหุ้นสามัญ AWC ได้ที่บริษัทหลักทรัพย์ทั้ง 4 แห่งที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย รวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ที่ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย อีก 8 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท หลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท หลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดว่าสามารถเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ในช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น หรือ AWC ได้รับการอนุมัติการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก หรือ IPO จากสำนักงาน ก.ล.ต. โดย AWC พร้อมเเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 6,957 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 22.47 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) และอาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Overallotment Option หรือ Greenshoe) จำนวนไม่เกิน 1,043 ล้านหุ้น ซึ่งเมื่อรวมหุ้นสามัญแล้วไม่เกิน 8,000 หุ้น โดยนำเงินที่ได้รับจากการจัดสรรหุ้นส่วนเกินไปใช้ในกลไกการรักษาระดับราคาหุ้น (Stabilization) เสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนเกี่ยวกับเสถียรภาพของราคาหุ้นในช่วง 30 วันแรกหลังเข้าจดทะเบียนซื้อขาย
สำหรับผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย มี 4 ราย บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ ที่ราคา 6.00 บาทต่อหุ้น โดยได้มีนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในประเทศและในต่างประเทศประเภท Cornerstone Investor จำนวน 13 ราย ได้แก่ บลจ.บัวหลวง บลจ.กรุงไทย บลจ.กสิกรไทย บลจ.ทิสโก้ บลจ.ไทยพาณิชย์ บลจ.ธนชาต บลจ.เอ็มเอฟซี บลจ.วรรณ บลจ.อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด (ประเทศไทย) บมจ.เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต Affin Hwang Asset Management Berhad, Maitri Asset Management และ GIC Private Limited ได้ตกลงจองซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ที่เสนอขายครั้งนี้ เป็นจำนวนรวม 3,454,000,000 หุ้น หรือประมาณร้อยละ 50 ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายในครั้งนี้ (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) ที่ราคา 6.00 บาทต่อหุ้น การแสดงความสนใจและเข้าทำสัญญาลงทุนในหุ้นของนักลงทุนสถาบันชั้นนำประเภท Cornerstone Investor ทั้ง 13 แห่งนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานและศักยภาพในการเจริญเติบโตของ AWC”
“AWC ประกอบธุรกิจพัฒนาและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร โดยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดิน (Freehold) ถึงร้อยละ 90 แบ่งธุรกิจออกเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.ธุรกิจโรงแรมและการบริการ คิดเป็นสัดส่วน 52 % 2.ธุรกิจอาคารสำนักงาน 30 % 3. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้าปลีก 18% โดยได้สิทธิในการเข้าถึงที่ดินและอสังหาริมทรัพย์นอกบริษัทฯภายใต้สัญญาให้สิทธิของกลุ่มบริษัท ทีซีซี
สำหรับกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) เป็นเจ้าของโรงแรมระดับ Midscale ภายใต้ การบริหารของ 6 แบรนด์ ดัง ที่มีฐานลูกค้าทั่วโลกกว่า 300 ล้านราย ส่วน กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial Building) ซึ่งครอบคลุมทั้งในส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้า (Retail and Wholesale) ทั้งแลนด์มาร์คด้านการท่องเที่ยวอย่างเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ คอมมูนิตี้ชอปปิงมอลล์และคอมมูนิตี้มาร์เก็ต ภายใต้แบรนด์เกทเวย์ พันธุ์ทิพย์ และตะวันนา นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของอาคารสำนักงานใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ได้แก่ อาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ อาคารสำนักงานแบบมิกซ์ยูส (Mixed-Use) ระดับเกรดเอ เมื่อพิจารณาจากพื้นที่เช่าสุทธิ
นอกจากนี้ “AWC ยังแผนจะเข้าลงทุนอีก 14 โครงการ โดยใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้เพื่อซื้อและพัฒนากิจการ เช่น โครงการที่เปิดดำเนินการแล้วอย่าง โรงแรมแบงค็อกแมริออท เดอะ สุรวงศ์ โรงแรมหัวหิน แมริออท รีสอร์ท แอนด์สปา โรงแรมภูเก็ต แมริออท รีสอร์ทแอนด์สปา ในยางบีช และโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรสส์ กรุงเทพ สาทร อีกทั้งจะเปลี่ยนแบรนด์โรงแรมอิมพีเรียล แม่ปิง โรงแรมแกรนด์ โซเล่ โรงแรมพรพิงค์ ทาวเวอร์ ให้เป็นแบรนด์ Melia
รวมถึงจะมีการพัฒนาโรงแรมใหม่ เช่น โรงแรมเจริญกรุง 93 ที่จะจับกลุ่มนักเดินทางเพื่อธุรกิจและนักท่องเที่ยว โรงแรมอีสต์ เอเชีย โรงแรมบันยันทรี จอมเทียน พัทยา โครงการในพัทยา ประเภทมิกซ์ยูส ที่ครอบคลุมทั้งในส่วนโรงแรม ค้าปลีก และกิจกรรมนันทนาการอีกมากมาย รวมพื้นที่จัดประชุมและงานอีเวนท์ขนาดใหญ่บนหาดพัทยา ซึ่งโครงการทั้งหมดนี้จะทยอยเปิดให้ดำเนินการระหว่างปี 2564 – 2567” นางวัลลภา กล่าว
ในส่วนของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้า (Retail and Wholesale) บริษัทฯ มีแผนในการพัฒนาและปรับปรุงโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการอสังหาริมทรัพย์มิกซ์ยูส อันประกอบด้วย โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ส่วนต่อขยาย (เฟส 2) โรงแรมแบงค็อกแมริออท ดิ เอเชียทีค และโรงแรมเจริญกรุง 93 และอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับปรุงโครงการพันธุ์ทิพย์ พลาซ่า ประตูน้ำ เป็นรูปแบบอสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูส หรือรูปแบบอื่นๆ และมีแผนเพิ่มทางเลือกด้านความบันเทิงและสันทนาการรูปแบบใหม่ให้กับอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้าต่างๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพในการใช้พื้นที่ของโครงการให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“ภายหลังการเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว AWC จะมีโครงการในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) รวมทั้งสิ้น 27 โครงการ จากปัจจุบันที่มีโครงการ 14 แห่ง (แบ่งเป็นโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 10 แห่ง และรวมโครงการอีก 4 แห่ง ตามสัญญาซื้อขายหุ้นปี 2562) และโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหรือมีแผนการพัฒนาจำนวน 13 แห่ง (เป็นโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหรือแผนในการพัฒนา 11 แห่ง และ โครงการอสังหาริมทรัพย์ Mixed-use อีก 2 แห่ง) ซึ่งภายใน 5 ปีข้างหน้า AWC จะมีห้องพักโรงแรมรวม 8,506 ห้อง ส่วนกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้า (Retail และ Wholesale) บริษัทฯ จะมีพื้นที่เช่าสุทธิรวม 415,481 ตารางเมตร จากโครงการทั้งหมด 11 โครงการ โดยมีโครงการที่เปิดดำเนินการแล้ว 9 โครงการ) และอีก 2 โครงการซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาและปรับปรุง และที่อยู่ทดสอบความพร้อมต่าง ๆ พร้อมกับเป็นเจ้าของอาคารสำนักงานอีก 4 แห่ง ด้วยพื้นที่เช่าสุทธิรวม 270,594 ตารางเมตร
ทั้งนี้ ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ จะทำการต่อยอดความร่วมมือกันในกลุ่ม โดยเฉพาะการทำโครงการในรูปแบบ Mixed-Use ส่วนกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ บริษัทจะยังคงเน้นกลยุทธ์ Barbell Strategy ผ่านการสร้างจุดหมายปลายทางเพื่อรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
“การทำ IPO ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะสนับสนุนการดำเนินการของ AWC ที่จะช่วยต่อยอดรากฐานอันมั่นคงในระยะยาวภายใต้การสนับสนุนของเครือ TCC Group ทั้งในส่วนโครงการที่บริษัทฯ พัฒนาแล้ว เริ่มพัฒนา หรือมีแผนจะพัฒนาในอนาคต ด้วยสิทธิของบริษัทฯ ตามสัญญาให้สิทธิ การเข้าถึงโครงการและที่ดินเปล่าที่มีศักยภาพสูง เพื่อเสริมแผนการเติบโตต่อเนื่องอย่างยั่งยืน” นางวัลลภา กล่าวสรุป
ดร.กานต์ ปฏิเวธวรรณกิจ หัวหน้าคณะสายงานบัญชีและการเงิน (CFO) บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผลประกอบการของบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) มีสัดส่วนกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน ประจำปี 2561 เท่ากับ 52 % ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ และ 48 % ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ สำหรับผลประกอบการหกเดือนแรกของปี 2562 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2562 บริษัทฯ มีรายได้และกำไรสุทธิจากการดำเนินงานจาก 2 กลุ่มธุรกิจหลักเป็นจำนวน 6,442 ล้านบาทและ 3,114 ล้านบาท ตามลำดับ โดยบริษัทฯ จะเปิดให้จองซื้อหุ้นสามัญ ได้ในวันที่ 25-27 กันยายนนี้ โดยนักลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นสามัญ AWC สามารถติดต่อบริษัทหลักทรัพย์ทั้ง 4 แห่งที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย รวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ที่ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย อีก 8 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท หลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท หลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ คาดว่าหุ้นสามัญของบริษัทจะสามารถเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ในช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้