RICHY กางแผนปีจอ จ่อเปิด 4 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 7 พันล้านบาท เจาะตลาดอสังหาฯ แนวสูง ด้านผู้บริหาร “ดร.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์” โชว์ Backlog หนากว่า 4 พันล้านบาท จากโครงการ ริชพาร์ค@ทริปเปิ้ล สเตชัน โดยคาดว่าจะสามารถโอนได้ตั้งแต่ Q1/61 หนุนรายได้ปี 61 ทะลุ 3 พันล้านบาท กำไรทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่จัดตั้งบริษัท
ดร.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ริชี่เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2560 ที่ผ่านมาทางบริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ และสามารถปิดการขายไปอีก 2 โครงการ คือ “ริชพาร์ค@บางซ่อนสเตชั่น” และ “เลอริช@พระราม 3” ด้านโครงการใหม่เปิดตัว 2 โครงการคือ “ดิเอท คอลเลคชั่น” เป็นคอนโดมิเนียมสูง 7 ชั้น ตั้งอยู่บนถนนวิสุทธิกษัตริย์ มูลค่ากว่า 350 ล้านบาท อีกโครงการคือ “ริชพาร์ค เทอมินอล หลักสี่สเตชั่น คอนโดมิเนียมสูง 14 ชั้น มูลค่ากว่า 1,600 ล้านบาท ไฮไลท์ โครงการนี้ คือ บริเวณชั้นล่างเป็น Community Mall พร้อม Sky walk เชื่อมตัวอาคาร หนึ่งเดียวบนพหลโยธิน
“ริชพาร์ค เทอมินอล หลักสี่ ตั้งใจปรับดีไซน์ ตอบสนอง Life style ของคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการความสะดวกสบาย สิ่งอำนวยความสะดวก มากกว่าคู่แข่งในบริเวณเดียวกัน แต่เคาะราคาเริ่มต้นเพียง 90,000 บาท เศษ” ดร.อาภา กล่าว
ดร.อาภา กล่าวต่อว่า ปี 2561 มียอดขายที่รอรับรู้รายได้กว่า 2,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากโครงการ ริชพาร์ค @ ทริปเปิ้ล สเตชั่น ที่จะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 1 ของปี 2561 โดยประมาณการในปีนี้จะรับรู้รายได้ประมาณ 3,000 ล้านบาท ถือว่าเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัท อย่างชัดเจนส่วนแผนการดำเนินงานปี 2561 เตรียมเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 7 พันล้านบาท โดยมีโครงการที่จะเปิดใหม่ประกอบด้วย เดอะริช ศรีนครินทร์, เดอะริช เอกมัย, และมีอีก 2โครงการ ที่อยู่ระหว่างวางแผนงาน โดยจะเป็นการเปิดโครงการใหม่ไตรมาสละ 1 โครงการ เน้นจับตลาดอสังหาฯ แนวสูงเป็นส่วนใหญ่ สำหรับแผนการตลาดและแคมเปญใหม่ๆ นั้น ทางบริษัทฯ ตั้งเป้าเขย่าตลาดอย่างต่อเนื่อง พร้อมการจัดกิจกรรมการตลาดเป็นประจำทุกเดือนในโครงการต่าง ๆ และมีการปรับโปรโมชั่นต่าง ๆ เพื่อดึงดูดผู้บริโภค ซึ่งจะยังยึดความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก
ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ริชี่เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทมีที่ดินพร้อมการก่อสร้าง 2 แปลง และอยู่ระหว่างหาพื้นที่ใหม่เพิ่มเติม โดยในปี 2561 ตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 3 พันล้านบาท แบ่งเป็น ซื้อที่ดินประมาณ 1 พันล้านบาท และใช้สำหรับการก่อสร้างประมาณ 2 พันล้านบาท ซึ่งเป็นเงินทุนที่มาจากผลการดำเนินงานของบริษัท และยังมีศักยภาพในการกู้เงินจากสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบันมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ประมาณ 1.93 เท่า รวมถึงยังมีเงินที่จะได้จากการแปลงใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ (วอร์แรนต์) ในปี 2561 สำหรับ RICHY-W1 อีกราว 282 ล้านบาท และ RICHY-W2 อีกราว 432 ล้านบาท ตลอดจนยังมีกระแสเงินสดอีกเกือบ 70 ล้านบาท