เอสซีจีแถลงผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2562 ธุรกิจเคมีคอลล์ ทำยอดขายลดลง 13 % ฉุด รายได้ลดลงลด 5 % กำไรหดไป 6 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน โดยมีสาเหตุหลักจากความผันผวนของราคาน้ำมัน และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า ไตรมาสแรกทำยอดขายได้ต่ำกว่าเป้า 5 % เนื่องจากความต้องการของตลาดโลกลดลง อันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลให้สินค้ามีราคาลดลง อีกทั้งต้นทุนเพิ่มขึ้น จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างไม่คาดคิด ส่งผลถึงงบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจี ในไตรมาสที่ 1 ปี 2562 มีรายได้จากการขาย 112,379 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลงตามความต้องการในตลาดโลกที่อ่อนตัวลง ขณะที่มีกำไร 11,662 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากไตรมาสก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ แต่ลดลงร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลการดำเนินงานที่ลดลงของธุรกิจเคมิคอลส์เนื่องจากส่วนต่างราคาสินค้าที่ปรับตัวลดลง
โดยไตรมาสที่ 1 ปี 2562 เอสซีจีมียอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services – HVA) 45,464 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 40 ของยอดขายรวม ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยใช้งบลงทุนด้านวิจัยและพัฒนานวัตกรรมกว่า 1,439 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.3 ของยอดขายรวม
สำหรับผลการดำเนินงานของเอสซีจี นอกเหนือจากประเทศไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2562 เอสซีจีมีรายได้จากการขายในภูมิภาคอาเซียนเท่ากับ 26,784 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 24 จากยอดขายรวม โดยลดลงร้อยละ 1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้จากการขายในภูมิภาคอื่น ๆ 16,966 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15 จากยอดขายรวม
สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562 มีมูลค่า 598,386 ล้านบาท โดยร้อยละ 27 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียนผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ปี 2562 แยกตามรายธุรกิจ ดังนี้
ธุรกิจเคมิคอลส์ มีรายได้จากการขาย 46,240 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 14 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 13 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง โดยมีกำไรสำหรับงวด 6,106 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากไตรมาสก่อนมีการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ แต่ลดลงร้อยละ 25 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากส่วนต่างราคาสินค้าที่ปรับตัวลดลง
ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขาย 48,310 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการขยายตัวของตลาดซีเมนต์ในประเทศ โดยมีกำไรสำหรับงวด 3,040 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 95 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ธุรกิจแพคเกจจิ้ง มีรายได้จากการขาย 21,127 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณการขายที่ลดลงในสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,681 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการบริหารต้นทุนของธุรกิจ ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและการซ่อมบำรุง รวมถึงการดำเนินโครงการลดต้นทุนต่าง ๆ
นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า “ทุกกลุ่มธุรกิจของเอสซีจียังคงเดินหน้าตามกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมตอบรับความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้ได้อย่างทันท่วงที ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจแพคเกจจิ้ง ที่มุ่งสู่การเป็น Total Packaging Solutions Provider หรือคู่คิดด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจร ด้วยการเดินหน้าขยายฐานการผลิตในอาเซียน โดยเฉพาะในตลาดที่มีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง รวมทั้งการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้สินค้า บริการ และกระบวนการผลิตเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและการใช้งานของผู้บริโภค
นอกจากนี้ ยังเน้นการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อขับเคลื่อนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น ร่วมกับ ซีพี ออลล์ และกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย ในการนำขยะพลาสติกจากสำนักงาน ศูนย์กระจายสินค้า และร้านเซเว่น อีเลฟเว่น มาผสมกับยางมะตอย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพถนนในพื้นที่บริเวณหน้าร้าน
เอสซีจียังผลักดันให้เกิดการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ เช่น การนำ Blockchain Corda R3 มาใช้เป็นดิจิทัลแพลตฟอร์มสำหรับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง-ชำระเงิน (Procure-to-Pay) กับคู่ค้าอย่างครบวงจรเป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งมีความคืบหน้าไปมากโดยเฉพาะในธุรกิจเคมิคอลส์และธุรกิจแพคเกจจิ้ง โดยสามารถช่วยลดต้นทุนในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง-ชำระเงิน ได้ถึงร้อยละ 70