สยามพิวรรธน์ ตั้งเป้า 5 ปี โต 1-1.5 เท่า ด้วยรายได้ 25,500 ล้าน พร้อมทุ่มทุน 9 พันล้าน เปิด 2 โครงการขนาดใหญ่ ย้ำนโยบาย ไม่ทำโครงการเล็ก เน้นร่วมทุนผุดโครงการบิ๊ก พร้อมลุยออกไปลงทุนในต่างประเทศ เร่งศึกษาตลาด เวียดนาม พม่า กัมพูชา
นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า สยาามพิวรรธน์ ตั้งเป้ารายได้ในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเติบโตขึ้นอีก 1-1.5 เท่า ด้วยรายได้ 25,500 ล้านบาท โดยมีการตั้งงบการลงทุนไว้ 70,000 ล้านบาท ใน 5 ปี โดย 80-90 % เป็นการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่คอนเซ็ปต์เดียวกับ ไอคอน สยาม บนพื้นที่ขนาด 50 ไร่ขึ้นไป โดยขณะนี้มี 3 พื้นที่ในเขตกรุงเทพให้เลือก เป็นพื้นที่ย่านฝั่งตะวันออก ทางฝั่งเหนือ และตรงกลางกรุงเทพฯ โดยทั้ง 3 ทำเลมีขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 150 ไร่ขึ้นไป โดยอาจจะพัฒนาเพียง 50 ไร่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาร่วมทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศประมาณ 10 ราย คาดว่าจะสรุปและเปิดเผยถึงรายละเอียดได้ในเดือนตุลาคมศกนี้
อย่างไรก็ตามโครงการที่จะเปิดใหม่ ในส่วนที่เป็นรีเทล จะไม่ได้เป็นรีเทลเต็มรูปแบบ แต่จะต้องเหมาะสมกับพื้นที่นั้นๆ เพื่อสืบทอด ธรรมเนียมประเพณี โดยมีเป้าหมายของการเป็น couture destination ซึ่งต้องมีส่วนอื่นๆประกอบ ทั้งที่อยู่อาศัย สำนักงาน โรงแรม
นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเข้าไปลงทุนในต่างประเทศ ในรูปแบบของการร่วมทุนพัฒนาโครงการ และการเข้าไปเป็นที่ปรึกษา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาอย่างจริงจังทั้งใน เวียดนาม พม่า กัมพูชา
เป้าหมายของ สยามพิวรรธน์ คือการเป็นผู้นำธุรกิจสร้างสรรค์ ซึ่งมากว่าธุรกิจปกติ ต้องมีความแปลกใหม่และทำเพียงลำพังไม่ได้ ต้องมีผู้ประกอบการรายอื่นๆร่วมด้วย เป็นการนำไทยสู่เวทีโลก เช่นการ ร่วมกับบริษัท ไซม่อน พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป เปิด สยามพรีเมี่ยม เอาท์เลท แห่งแรก บริเวณ ลาดกระบัง มอเตอร์เวย์ เนื้อที่ 150 ไร่ เดือนธันวาคมนี้ และมีแผนขยายเพิ่มออกไปยังนอกกรุงเทพอีก 2 แห่ง อีกทั้งจะมีการขยายไลน์ธุรกิจค้าปลีกในรูปแบบแฟรนไชส์ ด้วยการร่วมทุนกับบริษัทค้าปลีกชั้นนำในต่างประเทศเพื่อเปิดตัวแบรนด์สินค้าไลน์สไตล์อีก 2 แบรนด์
นางชฎาทิพ กล่าวต่อไปว่า สยามพิวรรธน์ มีความสนใจที่จะลงทุนในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในธุรกิจอื่นและขยายธุรกิจค้าปลีก ที่ช่วยเสริมศักยภาพของสยามพิวรรธน์ เช่นการซื้ออาคารสำนักงาน กิจการจัดส่งสินค้า รวมไปถึงธุรกิจด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีแบบใหม่ โดยตั้งเป้าขยายธุรกิจภายใต้บริษัทลูกอีก 4-5 บริษััท เช่น ตั้งบริษัท สยามอัลไลแอนซ์ แมเนจเม้นท์ จำกัด เพื่อบริหาร รอยัล พารากอน ฮอลล์ , บริษัท ซูพรีโม่ จำกัด ดำเนินกิจกรรมทางการตลาดอย่างครบวงจร , บริษัท สยามโปรเฟสชั่นแนล แมเนจเม้นท์ จำกัด ดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษาและบริการเกี่ยวกับการจัดการอาคาร
อีกทั้งยังมีการ ได้ใช้งบประมาณ 500 ล้านบาท พัฒนาระบบสารสนเทศทางการตลาดจนสำเร็จ เพื่อนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค และยังได้ขยายทาองการทางการค้าปลีกไปยังตลาดออนไลน์ ผ่านทางอี-คอมเมิร์ส และเอส-คอมเมิร์ส เจาะตลาดลูกค้าในต่างจังหวัด และต่างประเทศ โดยปัจจุบันมีฐานข้อมูลอยู่ 7-8 ล้านคน และผู้เข้ามาใช้บริการในไอคอนสยามเป็นคนไทยถึง 80 % และคนฝั่งธนเป็นหลัก อีกทั้งยอดขายเกินครึ่งหนึ่งมาจากกลุ่มลูกค้าใหม่
และเพื่อรองรับการขยายธุรกิจที่โตอย่างก้าวกระโดดจาก 15 บริษัทเป็น 46 บริษัทภายใน 5 ปีที่ผ่านมา และตอบรับกับแผนการขยายธุรกิจ สยามพิวรรธน์มีแผนปรับโครงสร้างบริหารและพัฒนาองค์กร ด้วย การสร้างสยามพิวรรธน์ Next-Gen Leader ปั้นคนรุ่นใหม่เสริมทัพผู้บริหาร สร้างหน่วยงาน Think Tank ที่ได้ทำงานร่วมกับประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้บริหารระดับสูง และยังมีแผนที่จะปรับโครงการสร้างองค์กรด้วยการสร้าง หน่วยงานกลางที่รวมเอาบุคลากรผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในสาขาต่างๆ ขึ้นเป็นหน่วยงานส่วนกลางเพื่อกำกับดูแล และให้การสนับสนุนบริษัทลูกในเครือทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีแผนการปรับกระบวนการทำงานโดยนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มีผลิตภาพมากขึ้น อาทิ การใช้ Chatbot, Robotic, AI ทำให้องค์กรมีความคล่องตัว สามารถปรับตัวได้เร็วตอบสนองความต้องการ และการเปลี่ยนแปลงของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันสยามพิวรรธน์มีทรัพย์สินรวม 40,500 ล้านบาท ปีที่ผ่านมารายได้มีการเติบโตขึ้น 23 % ปีนี้คาดว่าในส่วนของ ไอคอน สยาม จะเติบโต 42 % เนื่องจากมีการเปิด ไอคอน สยามเต็มพื้นที่