นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เผย LTV ทำแบงก์ต้องเร่งอนุมัติเงินกู้ล่วงหน้า และเกิดการเร่งการโอนช่วง 2 เดือน เพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว ส่งผลไตรมาสแรกมีโอนถึง 200,000 ล้านบาท แจงบ้านเดี่ยวโตแซงคอนโด ทาวน์เฮ้าส์แย่งแชร์คอนโด ในขณะที่นายกสมาคมอาคารชุด เผยคอนโดเกิดเยอะ นักลงทุนจีนขยาด การันตรีรายได้ไม่ได้ตามจริง ส่วนนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยแย้ม ผู้ประกอบการรายใหญ่ไล่เก็บที่ดินทำเลดี จังหวัดเด่นเข้าพอร์ต
นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ว่า ตลาดโครงการแนวราบทรงตัว แต่ก็มีโอกาสเติบโตทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด โดยตลาดบ้านจัดสรรในภูมมิภาค มีจำนวนหน่วย มากกว่าคอนโด โดยผู้ซื้อเป็นผู้อยู่อาศัยจริง ดังนั้น แนวโน้มบ้านจัดสรรจะมีมาร์เก็ตแชร์ทั้งประเทศแซงคอนโดมิเนียม โดยคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯจะมีราว 60,000 หน่วย บ้านจัดสรรในกรุงเทพฯมี 50,000 หน่วย ต่างจังหวัด 70,000 หน่วย รวมทั้งประเทศ 120,000 หน่วย โดยตลาดบ้านจัดสรรโตบวกลบ 5% ในขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมคาดว่าจะหดตัวลง 5-10%
และจากการเปิดเส้นทางรถไฟฟ้าใหม่ๆ ทำให้การเดินทางสะดวก ไม่จำเป็นต้องซื้อคอนโดมิเนียมซึ่งราคาสูงกว่าทาวน์เฮ้าส์ที่อยู่ลึกเข้าไปในซอยที่ราคาต่อตารางเมตรต่ำกว่าคอนโดเกือบ 3 เท่า เนื่องราคาที่ดินติดรถไฟฟ้าสูงมาก ผู้ประกอบการจึงหันไปเปิดโครงการประเภททาวน์เฮ้าส์มากขึ้น การเปิดโครงการคอนโดมิเนียมปีนี้คาดว่าจะลดลง 5-10 % เนื่องจากถูกทาวน์เฮ้าส์กินส่วนแบ่งการตลาดไป 5-10 %
ส่วนมาตรการสินเชื่อ เพื่อที่อยู่อาศัย Loan to Value หรือ LTV ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2562 โดยตามประกาศถือเอาวันเซ็นสัญญาสินเชื่อเงินกู้ของสถาบันการเงินเป็นหลัก ส่งผลให้สถาบันการเงินต้องเร่งเซ็นอนุมัติเงินกู้ ให้กับผู้ซื้อโครงการที่ก่อสร้างใกล้จะเสร็จ ล่วงหน้า โดยคาดว่าในช่วง 2 เดือนหลังมาตรการมีผลบังคับใช้จะมีการโอนที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 80,000 ล้านบาท จากปกติ 40,000 ล้านบาท รวมเป็น 160,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการโอนจากคอนโดมิเนียมราว 60-70 % เนื่องจากการซื้อบ้านจัดสรร ส่วนใหญ่เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และซื้อเป็นบ้านหลังแรก และเมื่อรวมกับยอดโอนเดือนอื่นๆ คาดว่าไตรมาสแรกมูลค่าการโอนจะมีถึง 200,000 ล้านบาท
ตลาดเป็นของผู้ซื้อ
ดร.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่าภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์เมื่อปีที่ผ่านมา การโตแบบก้าวกระโดด ดังนั้นหากหลังเลือกตั้งได้รัฐบาลที่อยู่ฝ่ายเดียวกับรัฐบาลชุดปัจจุบัน นโยบายต่างๆ ที่รัฐบาลชุดนี้ตั้งไว้ก็จะได้รับการสานต่อ แต่ถ้า ได้รัฐบาลที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม ก็อาจมีการรื้อนโยบายใหม่ ทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่กล้าตัดสินใจเข้ามาลงทุน
ในส่วนของตลาดคอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นที่ต้องการของคนทำงาน เพราะเดินทางสะดวก อีกทั้งยังพบว่านักลงทุนจีน ที่ลงทุนในประเทศต่างๆทั่วโลก 67% ลงทุนซื้ออสังหาฯในประเทศไทย และยังอยากลงทุนซื้อในประเทศไทยต่อไปอีก เนื่องจากการซื้อในประเทศไทยจะได้เป็นของกรรมสิทธิ์ ในขณะที่อสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศได้เพียงสิทธิการเช่า และบางประเทศเช่น มาเลเซีย มีการกำหนดวงเงินขั้นต่ำในการลงทุน
แต่จากการที่ขณะนี้จำนวนคอนโดมิเนียมมีเกิดขึ้นมาก จนทำให้นักลงทุนสามารถเลือกและมีอำนาจการต่อรอง อีกทั้งคอนโดมิเนียมที่นักลงทุนจีนซื้อไปเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการการันตรีรายได้ แต่กลับทำไม่ได้ดั่งที่การันตรี ทำให้เขาไม่อยากซื้อ
รายใหญ่ไล่เก็บที่ดิทำเลดีในต่างจังหวัด
ด้านนายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยค่อนข้างแข็งแรง แม้จะได้รับผลกระทบจากปัญหาจากต่างประเทศบ้าง และหากการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ลงตัว ไม่มีปัญหา เศรษฐกิจจะกลับมาเติบโตในช่วงครึ่งปีหลัง และนักลงทุนจากจีนก็จะกลับเข้ามาซื้ออสังหาฯในไทยอีกจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เริ่มมีผู้ประกอบการรายใหญ่ไปซื้อที่ดินแปลงเด่นๆที่มีศักยภาพเก็บไว้เป็นแลนด์แบงค์เพื่อรอการพัฒนา เพื่อจับกลุ่มระดับกลาง-ล่าง
ส่วนที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าความเร็วสูง ไม่ว่าใครจะประมูลได้ก็ตาม ขณะนี้ราคาได้มีการปรับตัวขึ้นไปแล้ว 30-40 %