กลุ่มบริษัทอิตัลไทยปรับวิสัยทัศน์ พุ่งเป้าสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่ งยืน เดินหน้าตามโรดแมพเดิม เพิ่มศักยภาพ เน้นสองกลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนักและธุรกิจรับเหมางานวิศวกรรมและการก่อสร้างแบบครบวงจร รวมถึงกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการ และไลฟ์สไตล์ พร้อมรุกขยายตลาดสู่เอเชีย มั่นใจปีหน้าโกยรายได้ 1.5 หมื่นล้านบาท ตามเป้าที่วางไว้
นายยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทอิตัลไทย กล่าวว่า องค์กรเองยังได้ปรับวิสัยทัศน์และพันธกิจของกลุ่มบริษัทฯ ที่มุ่งเป้าไปที่การพัฒนาคน โดยสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งผ่านการสร้างค่านิยมหลักในการทำงาน หรือ “ITALTHAI Core Values” โดยตัวเลขคาดการณ์การเติบโตรวมในปีนี้อยู่ที่ 17% และคาดการณ์รายได้รวมสิ้นปีอยู่ที่ 13,435 ล้านบาท
สำหรับเป้าหมายการเติบโตในปี พ.ศ. 2562 กลุ่มบริษัทอิตัลไทย ยังคงวางแผนเดินหน้าขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคเอเชียมากขึ้น โดยคาดว่ารายได้รวมทั้งปีในปี พ.ศ. 2562 ของกลุ่มบริษัทฯ ตามแผนปฏิบัติการ ปี พ.ศ. 2560-2564 (Roadmap) ที่วางไว้จะอยู่ที่ 15,030 ล้านบาท เติบโต 12% แบ่งเป็นรายได้ของกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนักและธุรกิจรับเหมาวิศวกรรมและการก่อสร้างแบบครบวงจร 9,400 ล้านบาท คิดเป็น 63% และกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการและไลฟ์สไตล์ 5,630 ล้านบาท คิดเป็น 37%
นายสกล เหล่าสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิตัลไทยวิศวกรรม จำกัด กล่าวว่าบริษัทฯ ได้มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับระบบการผลิตและระบบจำหน่ายไฟฟ้าขนาดใหญ่,พลังงานทดแทน, งานระบบประกอบอาคารสูง, ระบบสาธารณูปโภคในกลุ่มปิโตรเคมี ตลอดจนการสร้างคลังสินค้าและโรงงานขนาดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง การให้บริการของทางบริษัทฯครอบคลุมทั้งงานออกแบบทางวิศวกรรม, การบริหารโครงการและการก่อสร้าง รวมไปถึงงานบำรุงรักษา นอกจากนี้ ยังได้ขยายธุรกิจสู่ประเทศเมียนมาร์ ภายใต้ชื่อ อิตัลไทยวิศวกรรม (เมียนมาร์) โดยในปี พ.ศ. 2561 บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 45% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจำนวน 45 โครงการ คิดเป็นมูลค่างาน 11,000 ล้านบาท และจะสามารถรับรู้รายได้ในปี พ.ศ. 2561 ประมาณ 5,889 ล้านบาท
ส่วนปี พ.ศ. 2562 บริษัทฯ มีเป้าหมายในการขยายธุรกิจไปในตลาดใหม่ที่เป็น New S-Curve โดยจะการลงทุนเพิ่มเติมไปยังประเทศกัมพูชาและสปป.ลาว คาดว่าในปี พ.ศ. 2562 จะมียอดการรับรู้รายได้อยู่ที่ประมาณ 6,100 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลทำให้รายได้ของบริษัทฯ เติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 5% จากปีปัจจุบัน
นายอดิศร์ พฤกษ์พัฒนรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรม จำกัด กล่าวถึงธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนักของบริษัทฯ ในปี พ.ศ. 2562 บริษัทฯ ตั้งเป้ามีรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น 22% และตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 3,300 ล้านบาท โดยจะเพิ่มศูนย์บริการ อีก 2 แห่งในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีอยู่จำนวน 14 แห่ง ครอบคลุมทั่วไทย และสปป.ลาว ส่วนการคัดสรรเครื่องจักรกลหนักเข้ามาจำหน่ายเพิ่มเติมเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าหลักในปีหน้า บริษัทฯ ได้เพิ่ม วอลโว่ ลิจิด ฮอล์เลอร์ (Volvo Rigid Haulers) รถขนส่งลำเลียงวัสดุประเภท หิน ถ่านหิน หินปูน ขนาดใหญ่ ที่มีให้เลือกตั้งแต่ ขนาด 40 ตันจนถึง 100 ตัน และเอพิร็อค (EPIROC) เครื่องเจาะคุณภาพสำหรับงานเหมือง โรงโม่ และงานก่อสร้าง แบบหัวกระแทก
นางจารุวรรณ สัจจาวุธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิตัลไทยฮอสพิทาลิตี้ จำกัด กล่าวถึง กลุ่มธุรกิจบริการ อาหารและเครื่องดื่ม ว่า ในปี พ.ศ. 2562 บริษัทฯ วางแนวทางโดยแบ่งออกเป็น 4 เรื่องหลัก ประกอบด้วยการขยายพอร์ตโฟลิโอของธุรกิจไวน์ โดยเน้นเพิ่มในส่วนของไวน์พรีเมี่ยมให้มากขึ้น โดยเน้นการให้บริการในรูปแบบ Boutique Catering Service สำหรับงานอีเว้นท์ การขยายธุรกิจเบเกอรี่ โดยมุ่งเป้าไปที่ตลาดธุรกิจโรงแรม และร้านอาหาร ซึ่งได้เตรียมสร้างโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต การขยายธุรกิจซักรีด เนื่องจากมองเห็นโอกาสจากธุรกิจโรงแรมที่เกิดใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มีแผนกซักรีดเป็นของตัวเอง โดย IHC มีการพัฒนาด้วยการนำเทคโนโลยี Laundry Automation เข้ามาใช้ คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายปีหน้า ซึ่งจะเน้นให้บริการในพื้นที่กรุงเทพฯ และพัทยา ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดการณ์ว่าในปีหน้าจะทำรายได้รวมอยู่ที่ 360 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นเพิ่มขึ้น 20%
นายดักลาส มาร์เทล ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป กล่าวว่า ออนิกซ์ฯ ยังคงเดินหน้าขยายเครือข่ายโรงแรมในไทยและต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายที่จะเปิดให้บริการทั้งหมด 99 แห่ง ภายในปี พ.ศ. 2567 หนึ่งในโครงการพัฒนาที่ออนิกซ์ฯ มีแผนเปิดให้บริการในปีหน้า ได้แก่ โรงแรมอมารี พัทยา ซึ่งได้ผ่านการปรับโฉมและยกระดับการให้บริการ มีกำหนดเปิดให้บริการช่วงไตรมาสแรก ปี พ.ศ. 2562 นอกจากนี้ ออนิกซ์ฯ ยังมีแผนเปิดให้บริการโอโซ่ พัทยา ในพื้นที่ติดกัน ภายในปี พ.ศ. 2563
ซึ่งทั้งสองโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาโรงแรมที่บริษัทฯ ถือครองเอง (the company’s equity property) โดยใช้งบลงทุนกว่าสามพันล้านบาท การปรับโฉมอมารี พัทยา นับเป็นโครงการที่สำคัญของการลงทุนเพื่อยกระดับการให้บริการโรงแรมที่บริษัทฯ ถือครองเอง ถัดจากอมารี ภูเก็ต อมารี เกาะสมุย และอมารี วอเตอร์เกท กรุงเทพฯ ที่ได้เสร็จสิ้นการปรับปรุงและยกระดับการบริการในช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2562 ออนิกซ์ฯ ยังมีแผนขยายเครือข่ายโรงแรมใหม่ภายใต้ แบรนด์ โอโซ่ ซึ่งรวมถึงการกำหนดเปิดให้บริการโอโซ่ ภูเก็ต และโอโซ่ ปีนัง (มาเลเซีย) ตามมาด้วยการเปิดให้บริการโอโซ่ พัทยา โอโซ่ เมดินี (มาเลเซีย) และโอโซ่ มัลดีฟส์ ในปี พ.ศ. 2563 อีกทั้งยังได้เดินหน้าสรรหาพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มอย่างต่อเนื่อง เพื่อเจาะกลุ่มตลาดภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเกรทเทอร์ไชน่า (ได้แก่ ประเทศจีน และเขตปกครองพิเศษฮ่องกง) ซึ่งเป็น กลุ่มตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันออนิกซ์ฯ มีโรงแรมและเซอร์วิส อพาร์ทเมนต์ในเครือที่เปิดให้บริการในกลุ่มตลาดดังกล่าวทั้งหมด 14 แห่ง และเพื่อรองรับการขยายเครือข่ายทางธุรกิจในตลาดดังกล่าว ออนิกซ์ฯ จึงได้จัดตั้งสำนักงานประจำกลุ่มประเทศเกรทเทอร์ไชน่า ณ เมืองเซี่ยงไฮ้ และเฟ้นหาบุคลากรและทีมงานผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ในแวดวงอุตสาหกรรมการบริการมาร่วมงาน
ปัจจุบันออนิกซ์ฯ มีสัดส่วนจำนวนโรงแรมในเครือที่เปิดให้บริการในประเทศไทยและต่างประเทศ อยู่ที่ 50:50 ในขณะที่สัดส่วนรายได้ปัจจุบันของโรงแรมในเครือออนิกซ์ฯ ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยและต่างประเทศ คิดเป็น 60:40 โดยมีกลุ่มลูกค้าหลัก 5 อันดับแรก มาจากทั้งตลาดไทยและตลาดต่างชาติ ได้แก่ จีน อินเดีย สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย และคาดการณ์ว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้ของโรงแรมในเครือที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยและต่างประเทศจะเปลี่ยนเป็น 55:45 ปัจจุบัน ออนิกซ์ฯ มีโรงแรมและเซอร์วิส อพาร์ทเมนต์ในเครือฯ ที่เปิดให้บริการแล้ว 50 แห่ง ประกอบด้วย ห้องพักจำนวนกว่า 7,000 ห้อง ใน 8 ประเทศ (รวมถึงเขตปกครองพิเศษ) ได้แก่ ประเทศไทย จีน มาเลเซีย ศรีลังกา มัลดีฟส์ กาตาร์ สปป.ลาว และบังกลาเทศ และมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างประมาณ 30 แห่ง ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก