เซ็นจูรี่ 21รีแบรนด์ ตั้งคนรุ่นใหม่เป็นเป็นประธานบริหาร รับมือกระแสเทคโนโลยี เปิดศูนย์วิจัยข้อมูลอสังหาฯ” C21 Poll”เน้นสำรวจผลประทบจากเปลี่ยนแปลง ผู้นำ กระแสสังคม ที่มีผลต่อพฤติกรรมและความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในแต่ละพื้นที่ พร้อมเร่งปั่นรายได้ บุกกัมพูชา ขนโครงการออกขายใน ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ไต้หวัน
นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานและผู้ก่อตั้ง บริษัท เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เซ็นจูรี่ 21 ได้มีการปรับรูปโฉมแบรนด์ใหม่ ให้มีความทันสมัย พร้อมกับการปรับโครงสร้างการบริหาร โดยมีการแต่งตั้งนายธิติวัฒน์ ธีรกุลธัญโรจน์ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริการ บริษัท เซ็นจูรี่ 21(ประเทศไทย) จำกัด และนับแต่นี้ไปอีก 3-4 ปี จะให้ความสำคัญกับระบบ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับกลยุทธ์ใหม่ ทั้งองค์กร เทคโนโลยี และบุคลากร
นอกจากนี้จะบุกตลาดต่างประเทศ เช่น การนำโครงการในกัมพูชา ไปขายในญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง จีน เนื่องจากปีที่ผ่านมาบริษัท มีรายได้เติบโตที่ลดลง 40 % ปีนี้คาดว่าอัตราการเติบโตของรายได้ก็ยังลดลง เพียงแต่ลดลงน้อยลงเหลือ 30%
ส่วนภาพรวมของตลาดคอนโดมิเนียม ขณะนี้อยู่ในภาวะซบ ดังจะเห็นได้จากผู้ประกอบการที่เปิดโครงการคอนโดมิเนียมออกมา 10-20 บริษัท ล้วนต้องนำโครงการไปขายในต่างประเทศ เช่น จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ซึ่งก็ขายได้หมด ในขณะที่ห้องชุดในส่วนที่ต้องขายคนไทยยังขายได้ไม่หมด
กลุ่มลูกค้าต่างประเทศที่เป็นตลาดใหญ่ในขณะนี้ก็คือจีน อย่างไรก็ตามการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมออกมาแล้วต้องพึ่งตลาดต่างประเทศ ก็ต้องตระหนักด้วยว่าจะเป็นตลาดที่ยั่งยืนหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ตลาดคนจีนเชื่อว่ายังไปได้อีกอย่างน้อย 5 ปี
ส่วนราคาที่ดินเชื่อว่า ย่านใจกลางเมืองถึงวันนี้ราคาเริ่มชะลอการขึ้นไปแล้ว เพราะราคาขึ้นไปจนใกล้จรดเพดาน ผู้ประกอบการไม่รู้จะกำหนดราคาขายยังไงถึงจะคุ้นและกลุ่มผู้บริโภคมีกำลังซื้อได้ ทำให้บริษัทพัฒนาอสังหาฯหันไปพัฒนาโครงการแนวราบ โดยซื้อที่ดินย่านชานเมือง เพื่อรอเอาไว้พัฒนาในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งต่างกับการซื้อที่ดินในเมืองที่ซื้อมาแล้วต้องพัฒนาทันที โดยจะต้องหาทางลดต้นทุนด้วยการร่วมหุ้นกับต่างชาติ ซึ่งมีทั้งญี่ปุ่นและจีน ยกเว้นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีต้นทุนในการประกอบการที่ต่ำกว่ารายอื่นๆ
ด้านนายธิติวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทฯได้มีการปรับตัวเพื่อรับการแข่งขัน โดยร่วมกับ บริษัท Startup ด้านการพัฒนา Digital Platform พัฒนาเว็ปไซต์ใหม่ให้เข้ากับยุคสมัย และร่วมกับ Startup ของไทย ทำ Prop Tech เพื่อให้บริการลูกค้าด้านที่ดินและการลงทุน รวมทั้งได้มีการปรับตัวให้เอเจนท์เป็นศูนย์กลาง โดยจัดให้มีการจัดทำ Co-Working Spark โดยเปิดให้นายหน้าเข้ามาลงทะเบียนร่วมเป็นเครือข่ายในการเป็นตัวแทนขาย ซึ่งจะได้ผลตอบแทนมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเคยได้อยู่ที่ 50 % เพิ่มเป็น 80-90 % ในขณะที่บริษัทฯแม้จะมีรายได้ลดลงในระยะแรก แต่เมื่อฐานของผู้ร่วมเป็นเครือข่ายขยายใหญ่ขึ้น รายได้ของบริษัทฯก็จะเพิ่มขึ้นตาม โดยในปีนี้จะมีเอเจนท์จากต่างประเทศเข้ามาเปิดธุรกิจในรูปแบบนี้ 1-2 ราย ส่วนแฟรนไชส์สาขาของบริษัทซึ่งเคยมีถึง 60-70 ราย ปัจจุบันมีอยู่ 30 ราย
นอกจากนี้บริษัทฯได้เปิดศูนย์วิจัยข้อมูลอสังหาฯ” C21 Poll” โดยร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญในการวิจัยตลาดอสังหาฯ ทำการสำรวจเชิงนโยบาย สังคม กระแสความคิด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการดำเนินธุรกิจ การซื้อของผู้บริโภค โดยได้ทำการสำรวจในประเด็น “ทางรอดหรือทางตันของรัฐบาลยุค คสช.” เพื่อดูว่าเวลาเปลี่ยนแนวคิดหรือผู้นำประเทศ จะมีผลกระทบอย่างไรกับภาคอสังหาริมทรัพย์ และผู้ประกอบการสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ได้อ โดยเดือนหน้าจะมีการเปิดผลสำรวจนี้
ด้านนางสาวพรทิพย์ แก้วอยู่ ผู้อำนวยการฝ่ายที่ดินและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บริษัท เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปีนี้ที่ดินส่วนใหญ่ที่เป็นนายหน้าขายให้ ส่วนใหญ่เป็นที่ดินเพื่อการพัฒนาเป็นโครงการแนวราบ และเป็นการขายให้คนไทยด้วยกัน โดยที่สามารถปิดไปได้แล้ว 12 แปลง คิดเป็นมูลค่า 4,000 ล้านบาท ขนาดตั้งแต่ 70-150 ไร่ ส่วนใหญ่อยู่ในเขตชานเมือง เช่น จังหวัดสมุทร บริเวณวัดคู่สร้าง ประชาอุทิศ พุทธบูชา คาดว่าเมื่อถึงสิ้นปีจะสามารถขายได้รวม 20 แปลง คิดเป็นมูลค่า 6,000 ล้านบาท